ปี 2567 LBTQ Well being มีการจัดเวทีอบรมเชิงปฏิบัติการ “Feminist Spiritual and Wellbeing” ที่รวมตัวนักกิจกรรม LBTQ และผู้ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนจากหลายพื้นที่ เพื่อร่วมกันสำรวจว่า “สุขภาวะ” หรือ wellbeing ไม่ใช่เรื่องของปัจเจกเท่านั้น แต่เป็นความเชื่อมโยงระหว่างร่างกาย จิตใจ สิทธิ และโครงสร้างทางสังคม
ทำไมต้อง Wellbeing?

ผู้เข้าร่วมจำนวนมากสะท้อนตรงกันว่า แม้สังคมจะพูดถึงพื้นที่ปลอดภัยและสุขภาวะ แต่กลุ่มหญิงรักหญิง ไบเซ็กชวล และทรานส์ (LBT) กลับยังไม่ค่อยมีพื้นที่เฉพาะของตัวเอง พื้นที่กิจกรรมส่วนใหญ่ยังถูกครอบด้วยกลุ่ม G (เกย์) มากกว่า การสร้างเวทีเช่นนี้จึงเป็นเหมือนการหายใจและพักฟื้นของผู้ที่มักถูกมองข้าม
มัจฉา พรอินทร์ นักกิจกรรมสิทธิมนุษยชน ซึ่งทำงานกับชนเผ่าพื้นเมืองกว่า 20 ปี ชี้ว่า ความไม่เท่าเทียมเริ่มตั้งแต่ระบบการศึกษาและกฎหมายที่ถูกออกแบบจากมุมมองชายเป็นใหญ่ ส่งผลให้เด็กและผู้หญิงชนเผ่าหลายคนถูกกดทับทั้งด้านภาษา ศาสนา ความเชื่อ และโอกาสทางชีวิต เธอยังเชื่อมโยงว่า “สุขภาวะ” ต้องมองผ่านกรอบ collective care wellness — การดูแลซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แค่ดูแลตัวเอง
ในครั้งนั้น ผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ผ่านการเขียน วาดภาพ และการเล่าเรื่องราวชีวิต ผลที่สะท้อนออกมาชัดเจนคือ
• ผู้หญิงต้องพยายามมากกว่าผู้ชาย ทั้งในบ้านและในที่ทำงาน
• หลายคนเคยเจอบาดแผลจากความรุนแรงหรือการเลือกปฏิบัติ
• การฟังอย่างลึกซึ้งโดยไม่ตัดสิน ช่วยเสริมพลังและทำให้ผู้เล่าไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

กิจกรรมยังเชื่อมโยงกับแนวคิดสำคัญ เช่น Theory of Change, Intersectionality และ Feminist Spirituality ที่ชี้ให้เห็นว่าความไม่เท่าเทียมไม่ได้มาจากเพศเพียงอย่างเดียว แต่ซ้อนทับกับชนชั้น ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรม
การเดินทางสู่ wellbeing ต้องต่อสู้กับวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ที่ฝังลึก แต่ผู้เข้าร่วมต่างเห็นตรงกันว่า ถ้าจะไปถึงจุดที่ทุกคนมีสุขภาวะจริง ต้องสร้างความสมดุลให้ชีวิต โดยเฉพาะการนอน การพัก และการเคารพงาน care work ที่ผู้หญิงถูกผลักให้ทำอยู่ฝ่ายเดียว

การอบรมครั้งนี้ไม่ได้แค่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ส่วนตัว แต่ยังชี้ให้เห็นว่าการต่อสู้เพื่อสิทธิ ความเสมอภาค และการเยียวยาตัวเองเป็นเรื่องเดียวกัน สุขภาวะจึงไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือการดูแลกันในระดับครอบครัว ชุมชน และสังคม
Feminist Spirituality 2568 จากพื้นที่ปลอดภัย สู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
แม้กฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับ LGBTQ ในประเทศไทยจะเดินหน้าไปแล้วอาทิ กฏหมายสมรสเท่าเทียม แต่ในครอบครัวและชุมชน หลายคนยังเผชิญการเลือกปฏิบัติ การถูกกดดัน หรือการถูกทำให้เงียบเสียง Feminist Spirituality จึงยังคงให้ความสำคัญกับ “การฟังอย่างลึกซึ้ง” และ “การเล่าเรื่องชีวิต” เพื่อเปลี่ยนบาดแผลส่วนตัวให้กลายเป็นพลังในการขับเคลื่อน การเล่าประสบการณ์ไม่ใช่เพียงการระบาย แต่คือการสืบต่อความจริงที่สังคมต้องเผชิญ
แนวคิด Feminist Spirituality ในไทยถูกใช้เพื่อสร้างพื้นที่เล็ก ๆ ที่ปลอดภัยสำหรับ LBT แต่ปี 2568 กำลังพิสูจน์ว่า การดูแลซึ่งกันและกัน (collective care) ต้องก้าวไปสู่การออกแบบโครงสร้างสังคมที่เป็น inclusive care การดูแลที่เปิดกว้างให้กับทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้น และทุกกลุ่มวัฒนธรรม
“พื้นที่ปลอดภัย” ยังเป็นเป้าหมายหลักของการทำงานเฟมินิสต์และความหลากหลายทางเพศในไทย และวันนี้ Feminist Spirituality กำลังขยับขึ้นอีกขั้น สู่การเป็น พลังทางสังคมที่เปลี่ยนโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย การบริการสุขภาพ หรือพื้นที่สาธารณะ

ปี 2568 จึงเป็นปีที่ยืนยันว่า Wellbeing ไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่คือการประกาศคุณค่าความเป็นมนุษย์ของทุกคนในสังคม