ในปี 2025 นี้ ประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในประเทศเอเชียที่มีภาพลักษณ์เปิดกว้างต่อกลุ่ม LGBTQ+ มากที่สุด ทว่าเมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปกว่าภาพบนโซเชียลมีเดียหรือวงการบันเทิง จะพบว่าความเสมอภาคทางสิทธิ์ยังคงเป็นประเด็นที่ติดหล่มและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

ในปี 2025 ประเทศไทยยังคงได้รับการขนานนามว่าเป็น “สวรรค์” ของกลุ่ม LGBTQ+ แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายเมืองใหญ่มีงาน Pride Parade อย่างเปิดเผย ธุรกิจจำนวนไม่น้อยก็ใช้ความหลากหลายทางเพศเป็นจุดขายทางการตลาด และสื่อบันเทิงไทยก็เต็มไปด้วยตัวละครและนักแสดง LGBTQ+ ที่ได้รับความนิยม
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ฉากหน้าแห่งความ “เปิดกว้าง” นี้ กลับยังมีความเหลื่อมล้ำในหลายมิติที่ถูกมองข้าม หรือไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาแก้ไขอย่างจริงจัง
จำนวนเพิ่มขึ้น สะท้อนการยอมรับ…แต่แค่บางมิติ

จากข้อมูลของหลายองค์กรและการสำรวจทางสังคม จำนวนผู้ที่ระบุอัตลักษณ์ทางเพศนอกเหนือจากชายหญิงเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z และ Gen Alpha ที่เติบโตมากับแนวคิดความหลากหลายทางเพศที่เปิดกว้าง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนความปลอดภัยหรือความมั่นคงทางสิทธิ์ในชีวิตประจำวันของคน LGBTQ+ แต่อย่างใด
จากการสำรวจโดยองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้ที่แสดงออกและระบุอัตลักษณ์ว่าเป็น LGBTQ+ ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุ 15–35 ปี ซึ่งสะท้อนถึงการเปิดรับในระดับบุคคลที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม การ “มองเห็นได้” ไม่ได้แปลว่า “ได้รับการคุ้มครอง” หรือ “มีความปลอดภัย” เสมอไป เพราะในความเป็นจริง ยังคงมีกรณีการเลือกปฏิบัติ การกลั่นแกล้ง และความรุนแรงในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ทางเพศเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั้งในพื้นที่ชนบทและแม้แต่ในเมืองหลวง
กฎหมายเปลี่ยน แต่ทัศนคติยังตามไม่ทัน

แม้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไทยได้มีความเคลื่อนไหวทางกฎหมาย แต่สถานะทางกฎหมายของคู่รักเพศเดียวกันในปี 2025 ก็ยังไม่เทียบเท่าคู่รักชายหญิง ทั้งในเรื่องสิทธิในการสมรส รับบุตรบุญธรรม สวัสดิการคู่สมรส และประเด็นที่น่าสนใจ คือ การตัดสินใจทางการแพทย์แทนคู่ชีวิตในภาวะวิกฤติ ซึ่งยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน
แม้ในด้านกฎหมายจะมีความพยายามเคลื่อนไหว แต่ทัศนคติของประชาชนส่วนหนึ่งยังติดกับดักของความเชื่ออนุรักษนิยม เช่น ความเชื่อว่า LGBTQ+ คือ “โรคจิต” หรือผลจาก “ครอบครัวแตกแยก” ยังฝังรากลึก โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นเก่าและในพื้นที่ชนบท
อีกทั้ง สื่อไทยจำนวนไม่น้อยยังผลิตเนื้อหาที่ล้อเลียน บิดเบือน หรือทำให้กลุ่ม LGBTQ+ เป็นเพียงแค่ตัวตลก ซึ่งยิ่งตอกย้ำภาพจำที่ผิดพลาดและทำให้การเคลื่อนไหวทางสังคมถูกทำให้เป็นเรื่อง “ไม่จริงจัง”
การศึกษาและแรงงาน: ยังเต็มไปด้วยอคติแฝง

ในระบบการศึกษา แม้จะมีโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่เปิดพื้นที่ให้กับนักเรียน LGBTQ+ แต่ยังมีอีกมากที่ยังไม่สามารถแสดงออกอย่างเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ถูกกลั่นแกล้ง (bullying) หรือกดดันจากสภาพแวดล้อมแบบอนุรักษนิยม
ในโลกของการทำงาน ผู้ที่แสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางเพศที่ไม่เป็นไปตามค่านิยมเดิมยังคงเผชิญกับความเหลื่อมล้ำ ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนตำแหน่ง การจ้างงาน หรือการถูกคาดหวังให้ “อยู่ในกรอบ” เพื่อความเป็นมืออาชีพ
แม้หลายโรงเรียนในเมืองใหญ่จะเปิดพื้นที่ให้กับนักเรียน LGBTQ+ ได้แสดงออกมากขึ้น แต่ระบบการศึกษาส่วนใหญ่ยังคงอยู่ภายใต้วัฒนธรรมชาย-หญิงแบบตายตัว หลักสูตรสุขศึกษาและเพศศึกษาไม่ได้พูดถึงความหลากหลายทางเพศอย่างครอบคลุม ครูจำนวนมากขาดความเข้าใจ และมักมีอคติฝังลึกโดยไม่รู้ตัว
กรณีที่นักเรียนต้องปกปิดอัตลักษณ์ของตนเอง หรือถูกกลั่นแกล้ง (ทั้งจากเพื่อนและครู) ยังเกิดขึ้นบ่อย โดยไม่มีระบบการรับเรื่องร้องเรียนหรือคุ้มครองที่มีประสิทธิภาพ นักเรียนข้ามเพศยังถูกบังคับให้ใส่เครื่องแบบตามเพศกำเนิด และในบางกรณี การไม่ปฏิบัติตามกฎนี้อาจส่งผลต่อผลการเรียนหรือการจบการศึกษา
ตลาดแรงงาน: ความหลากหลายคือภาพลักษณ์ ไม่ใช่ความจริง

หลายองค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติและแบรนด์ใหญ่ ๆ เริ่มพูดถึง Diversity & Inclusion มากขึ้น มีการจ้างงานที่เปิดรับกลุ่ม LGBTQ+ อย่างเป็นทางการ และใช้ภาพลักษณ์ของพนักงานหลากหลายทางเพศในการโฆษณา
แต่ในชีวิตจริง พนักงาน LGBTQ+ จำนวนมากยังเผชิญกับ “glass ceiling” หรือเพดานที่มองไม่เห็น ที่ขัดขวางโอกาสในการเติบโต องค์กรจำนวนไม่น้อยยังคาดหวังให้พนักงาน LGBTQ+ “ไม่แสดงออกเกินไป” เพื่อคงไว้ซึ่งภาพลักษณ์ “มืออาชีพ” หรือเข้ากับวัฒนธรรมองค์กร
ที่แย่กว่านั้นคือ การที่คนข้ามเพศจำนวนมากยังไม่สามารถเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อในบัตรประชาชนได้ ส่งผลต่อการสมัครงาน การเปิดบัญชีธนาคาร หรือแม้แต่การเดินทางต่างประเทศ
การเปลี่ยนแปลงต้องมากกว่าแค่ภาพลักษณ์

แม้ไทยจะถูกยกย่องว่า “เปิดกว้าง” และมีงาน Pride ที่ยิ่งใหญ่ แต่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างยังคงล่าช้า การผลักดันนโยบายด้านความเท่าเทียมยังเผชิญกับแรงต้านจากทั้งระบบราชการ นักการเมืองที่เล่นเกมผลประโยชน์ และโครงสร้างวัฒนธรรมที่ยังฝังรากลึกในแนวคิดทวิลักษณ์ชายหญิง
ปี 2025 เป็นจุดสะท้อนที่ชัดเจนว่าจำนวนและการมองเห็นกลุ่ม LGBTQ+ เพิ่มขึ้นในสังคมไทย แต่การยอมรับเชิงลึกและการรับรองทางกฎหมายยังคงไม่เพียงพอ สิ่งที่ต้องการคือการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างจริงจัง การสนับสนุนจากรัฐ และการปรับทัศนคติของสังคมในทุกระดับ
ในปี 2025 นี้ เราอาจมีคน LGBTQ+ ที่ “มองเห็นได้” มากขึ้นในวงการบันเทิง แฟชั่น และสื่อ แต่ความเปลี่ยนแปลงเชิงลึกในด้านกฎหมาย การศึกษา ระบบแรงงาน และทัศนคติของสังคม ยังห่างไกลจากคำว่า “เท่าเทียม”
ประเทศไทยอาจดู “เปิด” บนเวทีโลก แต่หากไร้ซึ่งสิทธิ์ที่เท่าเทียมที่แท้ ก็ยังห่างไกลจากการเป็นสังคมที่เท่าเทียมอย่างแท้จริง
#เพราะการมีอยู่ไม่ควรต้องอธิบาย
#และสิทธิ์ความเป็นมนุษย์ไม่ควรต้องรออนุมัติจากรัฐ
ข้อมูลประชากร LBQ+ ในประเทศไทย
ความท้าทายและประสบการณ์ของกลุ่ม LBTQ+
• การศึกษาของ World Bank พบว่า 29% ของผู้หญิงเลสเบียนในประเทศไทยรายงานว่าประสบกับการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายที่กลุ่มนี้เผชิญในด้านอาชีพ
• การศึกษาในกลุ่มนักเรียนมัธยมในกรุงเทพฯ พบว่า 34.72% ระบุว่าตนเองเป็น LGBTQ+ โดยผู้ที่ได้รับสื่อที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศในเชิงบวกมีทัศนคติที่เปิดกว้างมากขึ้นต่อกลุ่ม LGBTQ+
การยอมรับตนเองและทัศนคติของสังคม
• การศึกษาของ UNDP ในปี 2019 พบว่า 69% ของคนไทยที่ไม่ใช่ LGBTQ+ มีทัศนคติเชิงบวกต่อกลุ่ม LGBTQ+ อย่างไรก็ตาม การยอมรับอย่างเต็มที่ยังคงเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในครอบครัวและชุมชนชนบท
• การศึกษาในกลุ่มนักศึกษาแพทย์ไทยพบว่า 27.2% มีทัศนคติเชิงบวกต่อกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งสูงกว่าประชากรทั่วไปที่มีเพียง 1%
การตีตราและการเลือกปฏิบัติ
• การศึกษาของ UNDP ในปี 2018 พบว่า 23% ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศไทยเคยถูกล่วงละเมิดหรือเลือกปฏิบัติในที่ทำงานเนื่องจากอัตลักษณ์ทางเพศหรือรสนิยมทางเพศของตน
• การศึกษาของ World Bank ในปี 2021 พบว่าผู้หญิงเลสเบี้ยนในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในที่ทำงานมากกว่าผู้หญิงที่ไม่ใช่ LGBTQ+
สุขภาพและการเข้าถึงบริการภาครัฐ
• แม้ว่าประเทศไทยจะมีบริการสุขภาพสำหรับประชาชนทั่วไป แต่กลุ่ม LGBTQ+ โดยเฉพาะคนข้ามเพศยังคงเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงบริการที่เหมาะสม เช่น การรักษาที่ไม่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางเพศ และการขาดการยอมรับจากบุคลากรทางการแพทย์
• ในปี 2025 กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยได้จัดสรรงบประมาณประมาณ 4.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนบริการสุขภาพสำหรับคนข้ามเพศ รวมถึงการบำบัดด้วยฮอร์โมน