อคติซ้อนอคติ : วงจรเงียบของการตีตราภายในชุมชนหลากหลายทางเพศ

“โอ้ย!!! ถ้าเรื่องถูกบูลลี่ก็มีบ้าง แต่ไม่ค่อยมีจากคนอื่นหรอก จะมีก็แต่พวกกระเทยด้วยกันนั่นแหล่ะที่บูลลี่กันเอง” 

 

ผู้เขียนมีโอกาสจดบันทึกในการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (Indepth Interveiw) ในเรื่องการตีตรา หรือ Stigma ในงานวิจัยของมหาวิทยาลัยชื่อดังทางภาคเหนือ ในคำถามหนึ่งผู้สัมภาษณ์ได้คุยกับผู้ถูกสัมภาษณ์และถามเจาะตรงไปถึงเรื่องการถูกรังแกอันเนื่องมาจากเหตุแห่งเพศ 

คำตอบของกลุ่มเป้าหมายท่านนี้ และอีกหลายๆ คนที่ตอบในทำนองคล้ายกัน ทำให้ฉุกคิดถึงปรากฎการณ์ในช่วงนี้ที่สถานบันเทิงสำหรับหญิงรักหญิงแห่งหนึ่งจัดโฆษณากิจกรรม วันเลสฯ ล้วน ด้วยข้อความที่ว่ามีบาร์สำหรับเลสเบี้ยนแล้วรู้ยัง ไม่มีทอมหรือทรานส์แมนให้กังวลด้วย”  (ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/1Fr5qAMBiy/?mibextid=wwXIfr) 

ในช่วงก่อนหน้าไม่นาน มีการนำเสนอถึงกลุ่มสังคมหญิงรักหญิงด้วยกันที่พูดถึงผู้หญิงที่เป็นไบเซ็กช่วลว่า “โลเล ไม่เลือกสักทาง” หรือ “เดี๋ยวก็กลับไปคบผู้ชาย” ด้วยน้ำเสียงเชิงกีดกัน (ที่มา: https://hon.co.th/bisexual/

ปรากฎการณ์ดังกล่าวยังสะท้อนถึง การตีตราและ เลือกปฏิบัติ แม้แต่ในกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศด้วยกันเอง ไม่ต่างจากสังคมในส่วนอื่นๆ ที่ก็มองเข้ามายังกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศด้วยอคติ ตีตรา และเลือกปฏิบัติ หลายกรณียังส่งผลไปสู่การรังแก ทำร้ายร่างกายและจิตใจ ฯลฯ ด้วยวิธีการต่างๆ

ความหมายอย่างย่อของการตีตราและการเลือกปฏิบัติ

การตีตรา (Stigma)

หมายถึง การที่บุคคลหรือกลุ่มคนถูกมองว่ามีข้อเสียหรือแตกต่างจากคนทั่วไปในทางลบ จนทำให้ถูกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม ถูกกีดกัน หรือถูกดูถูกจากสังคม ตัวอย่างเช่น คนที่มีปัญหาสุขภาพจิตอาจถูกมองว่าอ่อนแอหรือเป็นบ้าทั้งที่จริง ๆ แล้วพวกเขาแค่ต้องการความเข้าใจและการสนับสนุนเหมือนกับคนอื่น ๆ

การตีตราสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความเชื่อเดิมในสังคม ความไม่เข้าใจ หรือการกลัวสิ่งที่แตกต่าง ซึ่งส่งผลให้ผู้ที่ถูกตีตรารู้สึกโดดเดี่ยว ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ และเสียโอกาสในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

การเลือกปฏิบัติ (Discrimination)

 

คือ การปฏิบัติต่อคนบางคนอย่างไม่เท่าเทียมกัน เพราะเขาแตกต่างจากเรา เช่น การไม่รับคนเพศทางเลือกเข้าทำงาน, การไม่ให้บริการกับคนที่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่าง, หรือการพูดจาดูถูกคนที่มีความเชื่อไม่เหมือนเรา

การเลือกปฏิบัติไม่ได้เกิดจากการกระทำเท่านั้น แต่อาจรวมถึงท่าที คำพูด หรือแม้แต่โอกาสที่ถูกปิดกั้น ทั้งหมดนี้ทำให้คนที่ถูกเลือกปฏิบัติรู้สึกด้อยค่า และส่งผลกระทบต่อทั้งความมั่นใจและคุณภาพชีวิต

ดังนั้น อาจสรุปได้ว่า จุดเริ่มต้นจาก “ความคิดและทัศนคติ” การกระทำ” ที่ตามมาหลังจากมีการตีตราคือ นำไปสู่การรังแก / บูลลี่ (Bullying)  คือ “การกระทำที่รุนแรงและต่อเนื่อง” ดังนี้ 

การตีตรา (Stigma) – จุดเริ่มต้นจาก “ความคิดและทัศนคติ”

เกิดจากการที่สังคมหรือบุคคลมองคนบางกลุ่มว่า “แปลก” หรือ “ไม่ปกติ” เช่น มองว่าคนมีสุขภาพจิตไม่ดีเป็นคนอันตราย หรือเด็กที่มีรูปร่างต่างจากคนอื่นเป็นเรื่องน่าหัวเราะ

 

เป็นรากฐานของการเหมารวมและมองคนอื่นในทางลบ

การเลือกปฏิบัติ (Discrimination) – “การกระทำ” ที่ตามมาหลังจากมีการตีตรา

เมื่อตีตราแล้ว คนที่ถูกมองว่า “ไม่เหมือนคนอื่น” ก็อาจถูกปฏิบัติไม่เท่าเทียม เช่น ไม่ได้รับโอกาส, ถูกกันออกจากกลุ่ม, หรือถูกทำให้รู้สึกว่าไม่ควรอยู่ตรงนี้

 

 คือการแสดงออกเชิงพฤติกรรมที่ไม่ยุติธรรม

การรังแก / บูลลี่ (Bullying) – “การกระทำที่รุนแรงและต่อเนื่อง”

เป็นรูปแบบหนึ่งของการเลือกปฏิบัติที่ชัดเจนและรุนแรง เช่น การด่าทอ, ล้อเลียน, ทำร้ายร่างกาย หรือกีดกันจากกลุ่ม ซึ่งมักมีพื้นฐานจากการตีตราว่า “เธอไม่เหมือนพวกเรา”

การกระทำที่ไม่รู้ตัวอาจเกิดจากการตีตราที่เป็นจุดเริ่มของความคิดและทัศนคติ นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ และการรังแก

หลายครั้งที่พฤติกรรมหรือคำพูดที่เราทำต่อผู้อื่น อาจดูเหมือนไม่มีเจตนาร้าย แต่ในความเป็นจริงกลับสะท้อนความคิดและทัศนคติที่ถูกฝังรากลึกจากการ “ตีตรา” (stereotyping) ซึ่งเป็นกระบวนการที่สมองของเราจัดกลุ่มผู้คนตามลักษณะที่เห็นได้ชัด เช่น เพศ เชื้อชาติ ศาสนา รสนิยม หรือรูปลักษณ์ภายนอก โดยที่เราไม่รู้ตัว

การตีตราเหล่านี้อาจมาจากสื่อ การเลี้ยงดู หรือประสบการณ์ส่วนตัว และมักจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอคติซึ่งทำให้เรามองคนบางกลุ่มในแง่ลบโดยไม่เป็นธรรม เช่น เด็กผู้หญิงไม่เก่งคณิต คนผิวคล้ำไม่น่าไว้ใจ หรือคนที่แต่งตัวแตกต่างเป็นพวกแปลกแยก

เมื่ออคติเหล่านี้ฝังแน่นขึ้น มันจะส่งผลต่อพฤติกรรมของเราอย่างไม่รู้ตัว เราอาจเลือกปฏิบัติกับใครบางคน เช่น ไม่รับเข้าทำงาน ไม่ร่วมกลุ่ม หรือไม่ให้โอกาสในการแสดงความสามารถ ทั้งที่บุคคลนั้นอาจมีคุณสมบัติเหมาะสมก็ตาม

ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ การกระทำที่กลายเป็นการรังแก (bullying) เช่น การล้อเลียน การดูถูกเหยียดหยาม การกีดกัน หรือแม้แต่การทำร้ายทางร่างกาย ซึ่งมักเกิดจากการที่คนหนึ่งถูกมองว่าแตกต่างหรือไม่เหมาะสมตามมาตรฐานที่สังคมหรือกลุ่มหนึ่งตีกรอบเอาไว้

ดังนั้น การตระหนักรู้ถึงอคติและการตีตราที่อาจแฝงอยู่ในความคิดของเราเป็นสิ่งสำคัญ เราควรเปิดใจเรียนรู้ เข้าใจความหลากหลาย และกล้าที่จะตั้งคำถามกับทัศนคติของตัวเอง การเปลี่ยนแปลงอาจเริ่มจากการยอมรับว่า “เราก็อาจมีอคติ” และเลือกที่จะไม่ปล่อยให้มันควบคุมการกระทำของเรา