“เราไม่ใช่แค่ผู้รอดชีวิตจากการกดขี่ในอดีต แต่เราคือผู้ก่อร่างสร้างโลกใบนี้ให้ดีกว่าเดิมสำหรับรุ่นใหม่” – – คำกล่าวของสมาชิก LGBTQ+ รุ่นสูงวัยจากงาน Global Pride Seniors Forum
เมื่อพูดถึงความหลากหลายทางเพศ เรามักนึกถึงพลังของคนรุ่นใหม่ที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ์และการยอมรับ แต่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น มีเสียงเงียบ ๆ ของกลุ่มคนที่ “ปูทาง” ให้รุ่นหลังได้เดินอย่างมั่นคง
พวกเขาคือกลุ่ม LGBTQ+ รุ่นสูงวัย ผู้ที่ผ่านยุคแห่งการล่าแม่มดทางเพศ การกดทับทางสังคม และการถูกลืมในนโยบายสาธารณะ แม้จะต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความเงียบเหงาและการไม่ยอมรับ แต่พวกเขายังคงยืนหยัดด้วยศักดิ์ศรี ด้วยความรัก และด้วยความหวัง
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเพศ แต่คือเรื่องของมนุษยธรรม ความแก่ และศักดิ์ศรีของการมีตัวตน
ความเหงาและการแยกตัวทางสังคม

“ไม่ใช่ทุกคนที่แก่ตัวไปพร้อมครอบครัว และไม่ใช่ทุกครอบครัวที่ยอมรับว่าเราคือใคร”
สำหรับผู้สูงวัยทั่วไป ครอบครัว ลูกหลาน และเครือญาติเป็นระบบสนับสนุนหลักในช่วงท้ายของชีวิต แต่สำหรับคนรุ่นเก่าในกลุ่ม LGBTQ+ เรื่องนี้กลับไม่ได้เป็นจริงเสมอไป
LGBTQ+ รุ่นสูงวัยจำนวนมากเติบโตในยุคที่การเปิดเผยตัวตนมีความเสี่ยงสูง ทั้งด้านกฎหมาย สังคม และศาสนา หลายคนจึงไม่เคยแต่งงานหรือมีลูกตามขนบ หรืออาจเคยถูกบังคับให้ใช้ชีวิตในแบบที่ไม่ได้เลือก
แม้บางคนจะมีคู่ชีวิต แต่การจดทะเบียนไม่สามารถทำได้ในหลายประเทศ จึงไม่มีสิทธิ์ทางกฎหมายในเรื่องทรัพย์สิน การเยี่ยมไข้ หรือแม้แต่การตัดสินใจทางการแพทย์
ผู้สูงวัย LGBTQ+ เผชิญ “ความเหงาซ้อนความเหงา” พวกเขาอาจถูกแยกตัวจาก ครอบครัวเดิม ที่ไม่ยอมรับเรื่องเพศสภาพ ชุมชนผู้สูงวัย ที่ยังมีทัศนคติล้าหลังหรือไม่เข้าใจ และชุมชน LGBTQ+ รุ่นใหม่ ที่เน้นกิจกรรมเฉพาะวัย ทำให้อาจจะรู้สึกไม่เข้าพวก
การอยู่ลำพังโดยไม่มีเพื่อนร่วมชีวิต ทำให้เกิดภาวะ social isolation ซึ่งสัมพันธ์กับอัตราการเกิดโรคซึมเศร้า โรคหัวใจ และอายุขัยที่สั้นลง
เมื่อเข้าสู่วัยที่มากขึ้น หลายคนเริ่มเผชิญกับการตั้งคำถามถึงความหมายของชีวิตและคุณค่าของตัวเอง แต่การที่สังคมไม่ให้พื้นที่กับ LGBTQ+ สูงวัย ก็ยิ่งซ้ำเติมให้พวกเขารู้สึกว่า “ไม่มีใครต้องการ” หรือ “เราเป็นรุ่นที่ถูกลืม”
ยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่เปิดกว้าง บางคนอาจต้องไม่เปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศ หรือเพศสภาพของตนเองต่อสาธารณะหรือครอบครัว เพราะกลัวว่าจะถูกปฏิเสธ กีดกัน หรือประณาม อีกครั้ง ทั้งที่ใช้เวลาทั้งชีวิตกว่าจะกล้าเป็นตัวของตัวเอ
แม้จะมีความพยายามสร้าง community สำหรับ LGBTQ+ สูงวัย เช่น ที่อยู่อาศัยร่วมแบบ inclusive หรือกลุ่มสนับสนุนต่าง ๆ แต่ก็ยังมีไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา
หลายคนจึงเลือก “ไม่พูด ไม่เปิดเผย” และใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาในเงาของความอดทน
นอกจากนี้ยังมีประเด็น การเข้าถึงบริการสุขภาพที่ครอบคลุม
บางคนเลือกไม่เปิดเผยอัตลักษณ์ของตนต่อบุคลากรทางการแพทย์เพราะกลัวถูกเลือกปฏิบัติ ส่งผลต่อคุณภาพการรักษา เช่น การตรวจสุขภาพทางเพศ หรือการบำบัดด้านจิตใจ
การเลือกปฏิบัติในสถานดูแลผู้สูงอายุ เพราะ หลายคนกลัวการเปิดเผยตัวตนในสถานดูแลผู้สูงวัยเพราะอาจถูกกีดกันหรือรังเกียจจากผู้อื่นในสถานที่นั้น
การขาดพื้นที่และเครือข่ายสำหรับผู้สูงอายุ LGBTQ+ พื้นที่และกิจกรรมส่วนใหญ่มักเน้นที่กลุ่ม LGBTQ+ วัยรุ่นหรือวัยทำงาน ทำให้คนรุ่นสูงวัยรู้สึกแปลกแยก
เราเตรียมความพร้อมให้คนหลากหลายเพศในวัยชราเพียงพอหรือยัง?
แสงสว่างและความหวัง

จากข้อมูลพบว่า มีหลายประเทศได้เริ่มมี โครงการเฉพาะสำหรับ LGBTQ+ รุ่นสูงวัย เช่น โครงการที่อยู่อาศัยร่วมแบบ inclusive, กลุ่มเพื่อนวัยเกษียณ LGBTQ+, และองค์กรสนับสนุนด้านสุขภาพจิต
นอกจากนี้การเติบโตของ เครือข่ายผู้สูงวัย LGBTQ+ ผ่านโซเชียลมีเดีย หรือชุมชนออนไลน์ทำให้เกิดการแบ่งปันและสนับสนุนซึ่งกันและกันมากขึ้น
และการที่มีผู้สูงวัย LGBTQ+ จำนวนหนึ่งเริ่มเป็น “role model” หรือผู้นำทางสังคม ที่ช่วยขับเคลื่อนประเด็นด้านสิทธิและการมองเห็นได้มากขึ้น
จาก Pre Meeting เวทีประชุมระดับชาติ : สุขภาวะของคนข้ามเพศ วันที่ 30 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้มีการพูดถึง การทำบ้านพักฉุกเฉินสำหรับการดูแลกลุ่ม LGBTQ สูงวัย

“เพราะสถานการณ์ปัจจุบัน มองว่าคนข้ามเพศสูงอายุถูกมองไม่เห็น ในนโยบายบ้านพักฉุกเฉินในสังคมไทย เราเผชิญกับสังคมสูงอายุข้ามเพศ มักจะเป็นโสด และยังถูกตีตรา เลือกปฏิบัติอยู่ และยังไม่มีบ้านพักสำหรับคนข้ามเพศสูงวัย และยิ่งมีอัตลักษณ์ทับซ้อน ยิ่งถูกมองไม่เห็น”
ในเวทีพูดถึงการทำอย่างไรจึงรวมตัว ผลักดันให้ถูกพูดถึง นำปัญหาเข้าไปสู่ภาครัฐ
“ให้ดำเนินการโดยภาคประชาสังคม รวบรวมปัญหา ความต้องการว่ามันจำเป็น ในระดับชุมชน อบต. ต้องมีการรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดสรรงบประมาณ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต้องจัดระบบให้ครอบคลุมกับทุกอัตลักษณ์ และบุคลากรต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของผู้สูงงวัยข้ามเพศ”
ในเวทีวิเคราะห์ว่า ประเด็นนี้ อาจใช้เวลานาน 3-5 ปี เพื่อรวบรวม และจากนั้นอาจจะได้เสนอให้เป็นนโยบายต่างๆ ต่อไป
มีงานศึกษาน้อยมากเกี่ยวกับ LGBTQ+ วัยเกษียณ โดยเฉพาะเรื่องสวัสดิการและเครือข่ายการดูแล และรายงานหลายชิ้นที่ศึกษาชีวิตของผู้สูงวัยในกลุ่ม LGBTQ+ ในประเทศไทย โดยเฉพาะในประเด็นสุขภาพจิต การเข้าถึงบริการสาธารณะ และความต้องการเฉพาะทางของกลุ่มนี้ ตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่
.
งานวิจัยเชิงคุณภาพเกี่ยวกับผู้สูงวัยLGBTQ+
.
งานวิจัยของสุชน เทพจันทร์ เรื่อง “A Social Ecology of Sexual Health and Well-being among Older Gay Men and Transgender Women in Chiang Mai, Thailand” สำรวจประสบการณ์ของเกย์และหญิงข้ามเพศอายุ 60 ปีขึ้นไปในเชียงใหม่ พบว่าผู้เข้าร่วมเผชิญกับความโดดเดี่ยว การตีตราทางสังคม และการเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำกัด โดยเฉพาะการขาดการรับรองทางกฎหมายและความเข้าใจจากผู้ให้บริการสุขภาพ https://digital.car.chula.ac.th/chulaetd/21
.
การทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพ
.
บทความ “Social Determinants of Health Inequities for Older LGBT Adults: A Scoping Review” โดยศรีธรรมสุข และคณะ (2024) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพของผู้สูงวัย LGBTQ+ ในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย โดยเน้นย้ำถึงการขาดข้อมูลเชิงประจักษ์และความจำเป็นในการพัฒนานโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของกลุ่มนี้
https://journals.sagepub.com/…/10.1177/10436596241253866
มุมมองของผู้ให้บริการต่อหญิงข้ามเพศสูงวัย
.
การศึกษาของธรรมนพพล และคณะ (2021) สำรวจมุมมองของผู้ให้บริการต่อหญิงข้ามเพศสูงวัยในประเทศไทย พบว่าผู้ให้บริการบางรายยังขาดความเข้าใจและความไวต่อวัฒนธรรมของกลุ่มนี้ ส่งผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติและการเข้าถึงบริการที่ไม่เท่าเทียม
.
การจัดการสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงวัย LGBTQ+
.
งานวิจัยของวรวรรณ จิรธนาภิวัฒน์ ศึกษาการจัดการและพัฒนาสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงวัย LGBTQ+ ในประเทศไทย โดยเน้นบทบาทขององค์กรภาคประชาสังคมในการให้บริการ เช่น การให้คำปรึกษา การตรวจสุขภาพ และการจัดหางาน เพื่อสนับสนุนคุณภาพชีวิตของกลุ่มนี้